The Demopædia Encyclopedia on Population is under heavy modernization and maintenance. Outputs could look bizarre, sorry for the temporary inconvenience

พจนานุกรมประชากรศาสตร์พหุภาษา ฉบับปรับให้เป็นเอกภาพ ปรับปรุงครั้งที่สอง ภาษาไทย

35

จาก Demopædia


ข้อความปฏิเสธความรับผิดชอบ : ผู้สนับสนุนทั้งหลายของดีโมพีเดียไม่จําเป็นต้องเห็นด้วยกับความหมายของศัพท์ต่างๆ ที่อยู่ในพจนานุกรมฉบับปรังปรุงนี้

พจนานุกรมประชากรศาสตร์พหุภาพ ฉบับปรับให้เป็นเอกภาพ ปรับปรุงครั้งที่สอง ยังอยู่่ระหว่างการดําเนินงาน หากต้องการเสนอข้อคิดเห็นใดๆ กรุณาใช้พื้นที่อภิปราย



350

โดยทั่วไปมีการแสดงความแตกต่างระหว่าง ประชากรกําลังแรงงาน1 หรือ ประชากรทํางานในเชิงเศรษฐกิจ1 กับ ประชากรว่างงาน2 หรือ ประชากรที่ไม่ได้ทํางานในเชิงเศรษฐกิจ2 กล่าวโดยทั่วไป ประชากรกําลังทํางานประกอบด้วยบุคคลที่ประกอบ กิจกรรมที่มีผลประโยชน์3 กิจกรรมที่มีผลประโยชน์หรือ กิจกรรมเชิงเศรษฐกิจ3คือกิจกรรมซึ่งก่อให้เกิดผลผลิตเป็นรายได้ คนทํางานในครอบครัวที่ไม่ได้รับค่าจ้าง (353-5) ปรกติรวมอยู่ในประชากรทํางานในเชิงเศรษฐกิจ คนทํางานบ้าน4 หรือ แม่บ้าน4ที่ทํางานบ้านที่ไม่ได้รับค่าจ้าง นักเรียนนักศึกษา คนงานที่เกษียณแล้ว ฯลฯ ปรกติจะไม่ถูกรวมไว้ในประชากรกลุ่มนี้ บางครั้งสมาชิกของประชากรที่ไม่ได้ทํางานเชิงเศรษฐกิจหมายถึง ผู้พึ่งพิง5 (358-1) ในความหมายที่ว่าพวกเขาดํารงชีพอยู่ได้โดยอาศัยผลผลิตของประชากรกําลังทํางาน (อย่างไรก็ตาม ดูความหมายที่ต่างกันของศัพท์คํานี้ที่กล่าวไว้ในย่อหน้า 358) อัตราส่วนของประชากรกําลังทํางานต่อประชากรทั้งหมด ที่โดยปรกติคํานวณเฉพาะกลุ่มเพศ-อายุ หรือกลุ่มเฉพาะอื่นๆ เรียกว่าเป็น อัตราส่วนกิจกรรม6 หรือ อัตราส่วนการมีส่วนร่วมในแรงงาน6

  • 1. ศัพท์คําว่าประชากรประกอบอาชีพที่มีผลประโยชน์ คนงานที่มีผลประโยชน์ แรงงาน ใช้ในความหมายเดียวกันกับประชากรกําลังแรงงาน และประชากรทํางานในเชิงเศรษฐกิจ
    สําหรับการวัดทางสถิติของประชากรกําลังแรงงาน อาจใช้แนวคิดเรื่องคนงานที่มีผลประโยชน์หรือแรงงานได้ ตามแนวความคิดเรื่องแรงงาน ประชากรกําลังแรงงานจะนิยามว่าเป็นกลุ่มของบุคคลซึ่งกําลังทํางานในอาชีพที่มีผลประโยชน์ หรือต้องการ หรือกําลังหางานเช่นนั้นทําในช่วงระหว่างระยะเวลาที่ระบุไว้ก่อนการสํารวจ

351

คนงาน1ซึ่งประกอบขึ้นเป็นประชากรกําลังทํางานสามารถจําแนกออกเป็นกลุ่ม มีงานทํา2 หรือ ว่างงาน3 ภายใต้แนวความคิดเรื่องแรงงาน (350-1 *) ปรกติบุคคลที่ กําลังหางาน4หรือถูกปลดออกจากงานชั่วคราวในช่วงเวลาที่ระบุไว้เท่านั้นที่จะนับว่าเป็นคนว่างงาน มีความสําคัญอย่างยิ่งที่จะต้องแยกแยะระหว่างบุคคลผู้ซึ่งไม่เคยมีงานทํากับ บุคคลที่กําลังมองหางานแรกของตน11 หรือ ผู้หางานแรก11 ประชากรมีงานทํา5ประกอบด้วยคนที่ปัจจุบันกําลังทํางานเพื่อค่าจ้างหรือผลกําไร ในกลุ่มประชากรทํางานเชิงเศรษฐกิจ จะมีคนงานจํานวนมากที่อาจถูกบังคับโดยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศหรือของช่วงเวลานั้นให้ต้องทํางานน้อยลงกว่าที่พวกเขามีความสามารถและเต็มใจที่จะทําได้ กรณีเช่นนี้ใช้ศัพท์คําว่า การทํางานต่ําระดับ6หรือ การว่างงานบางส่วน6 คนงานทางเลือกสุดท้าย7ที่เข้าร่วมในกิจกรรมทางเศษฐกิจเพียงบางครั้งบางคราวมักจะไม่จัดอยู่ในแรงงานภายใต้แนวความคิดเรื่องคนงานที่เกิดผลประโยชน์ (350-1 *) อัตราส่วนการทํางานต่อประชากร8เป็นสัดส่วนของบุคคลในวัยทํางาน (ปรกติอายุ 15 ถึง 64 ปี) ที่ทํางาน บุคคลที่ไม่ทํางาน9เป็นบุคคลที่ไม่ได้ประกอบกิจกรรมวิชาชีพใดๆ สําเร็จหรือกําลังมองหาการจ้างงาน การไม่ทํางานแฝง10หรือ การสํารองแรงงาน10 รวมถึงบุคคลผู้ซึ่งแม้ว่าไม่ลงทะเบียนเป็นผู้ว่างงานอย่างเป็นทางการ แต่กําลังหางานส่วนตัวทํา เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ได้หางานทําแต่มีงานเสนอมายังเขาเหล่านั้นและเขาเหล่านั้นสามารถทําได้

  • 2. การมีงานทํา (employment) หมายถึงสถานการณ์ที่บุคคลหนึ่งประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สถานภาพการทํางานหมายถึงการแบ่งประเภทบุคคลออกเป็นมีงานทําหรือว่างงาน
  • 6. บางครั้งหมายถึงการใช้ประโยชน์ต่ําระดับของแรงงาน การทํางานต่ําระดับและการใช้ประโยชน์ต่ําระดับบางครั้งหมายถึงสถานการณ์ที่บุคคลทํางานต่ํากว่าระดับของคุณสมบัติที่เขามี

352

การจําแนกอาชีพ1ของประชากรกําลังทํางาน (350-1) แสดงสมาชิกที่จัดรวมเป็นกลุ่มโดย อาชีพ2 ความคล้ายกันของงานที่ทําโดยคนงาน รวมทั้งความคล้ายกันของทักษะความชํานาญและการฝึกอบรมที่จําเป็นสําหรับงานนั้นเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดกลุ่มอาชีพต่างๆ ให้เป็น กลุ่มอาชีพ3 หรือ ชั้นทางอาชีพ3

  • 1. เพื่อวัตถุประสงค์ของการเปรียบเทียบ องค์การแรงงานระหว่างประเทศได้จัดเตรียม International Standard Classification of Occupations ไว้ให้

353

ปรกติ ประชากรกําลังทํางาน (350-1) จะจําแนกประเภทออกตาม สถานภาพงาน1 ในการจําแนกประเภทอย่างนี้ นายจ้าง2จะแตกต่างจาก ลูกจ้าง3ในด้านหนึ่ง และแตกต่างจาก คนทํางานของตนเอง4 หรือ คนทํางานอิสระ4ในอีกด้านหนึ่ง คนทํางานอิสระไม่ใช้แรงงานที่ทํางานเพื่อค่าจ้าง หากแต่อาจได้รับการช่วยทํางานจาก คนทํางานในครอบครัว5 หรือ ผู้ช่วยในครอบครัว5โดยไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง ปรกติแรงงานในครอบครัวเหล่านี้จะแยกออกเป็นกลุ่มต่างหาก ส่วนผสมของการจําแนกประเภทตามสถานภาพงานและอาชีพอาจใช้เพื่อสร้าง ประเภทสถานภาพทางสังคม6

  • 1. การแบ่งประเภทโดยสถานะ (เป็นนายจ้าง ลูกจ้าง ฯลฯ) มีชื่อเรียกด้วยศัพท์หลายคําในสํามะโนของประเทศต่างๆ เช่น "สถานภาพอุตสาหกรรม" "สภาพในการทํางาน" "ตําแหน่งในอุตสาหกรรม" "ชั้นของคนงาน" ฯลฯ
  • 2. ผู้จัดการ บางครั้งนับรวมกับนายจ้าง ทั้งๆ ที่ผู้จัดการก็เป็นลูกจ้างเหมือนกัน

354

กลุ่มย่อยของแรงงานประเภทลูกจ้าง (353-3) บางครั้งแยกออกให้แตกต่างกัน หนึ่งในกลุ่มย่อยเหล่านั้นคือ คนงานบ้าน1ที่ทํางานในบ้านของตนเอง บางครั้งทํางานให้กับนายจ้างหลายคน ในกลุ่มลูกจ้าง บางครั้งแยกความแตกต่างระหว่าง คนงานด้วยมือ2 และ คนงานไม่ได้ด้วยมือ3 หรือ คนงานเสมียนและสํานักงาน3 คนงานด้วยมืออาจแบ่งย่อยออกไปอีกตาม ทักษะ4ของคนงานเป็น คนงานฝีมือ5 คนงานกึ่งฝีมือ6 และ คนงานไร้ฝีมือ7 ผู้ฝึกงาน8บางครั้งจัดอยู่ในประเภทย่อยของลูกจ้าง

  • 2. อีกแบบหนึ่งของการแบ่งประเภทลูกจ้างคือการแยกความแตกต่างระหว่างคนทํางานเพื่อค่าจ้าง ผู้ได้รับค่าจ้างเป็นรายวันหรือรายอาทิตย์ กับลูกจ้างเงินเดือน ผู้ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนหรือช่วงเวลานานกว่านั้น สถิติของสหรัฐอเมริกาแยกประเภทอาชีพกว้างๆ ออกเป็น 4 ประเภท (1) คนงานคอปกขาว (2) คนงานคอปกน้ําเงิน ซึ่งรวมช่างฝีมือ ผู้ปฏิบัติการ และคนงานนอกฟาร์ม (3) คนทํางานบริการ และ (4) คนงานในฟาร์ม (cf. 356)
  • 7. แรงงาน หมายถึงคนงานไร้ฝีมือ ซึ่งทํางานโดยใช้แรงงานหนักมาก

355

ในกลุ่มลูกจ้าง (353-3) มักจะแยกความแตกต่างระหว่าง คนงานฝ่ายจัดการ1ผู้ตัดสินใจด้านนโยบาย คนงานฝ่ายบริหาร2ผู้นํานโยบายมาสู่การปฏิบัติ และ ผู้คุมงาน3 หรือ โฟร์แมน3ผู้ปฏิบัติงานโดยตรง เจ้าหน้าที่ (357-5) แบ่งออกเป็น บริการระดับล่างหรืออย่างง่าย4 ซึ่งโดยส่วนใหญ่สําหรับตําแหน่งงานรับใช้ (เช่น ผู้ช่วยผู้บริหาร ผู้ช่วยทางเทคนิค) บริการระดับกลาง5 ซึ่งโดยส่วนใหญ่สําหรับตําแหน่งที่เทียบเท่าว่าผ่านการฝึกงานมาแล้ว (เช่น บรรณาธิการ เลขานุการผู้บริหาร) บริการระดับบน6 ซึ่งโดยส่วนใหญ่สําหรับตําแหน่งที่จบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า (ผู้บริหารงานหรือช่างเทคนิค) และ บริการขั้นสูง7 ซึ่งจํากัดเฉพาะผู้ที่จบปริญญาโทหรือเทียบเท่า

  • 1. ในสหรัฐอเมริกา คําว่า executive หมายถึงสมาชิกของคนงานฝ่ายจัดการ

356

ใช้การจัดประเภทพิเศษในสาขาการเกษตร ชาวนา1 หรือ คนทํานา1 คือคนที่ทํางานในนาเพื่อผลกําไร ในกลุ่มชาวนา เราแยกระหว่าง เจ้าของที่นา2ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน และ ผู้เช่านา3ผู้เช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดินนั้น และ เกษตรกรผู้แบ่งผลผลิต3ผู้ให้ส่วนหนึ่งของผลผลิตทางการเกษตรเพื่อตอบแทนการใช้ที่ดินและปศุสัตว์ แรงงานทางการเกษตร4คือบุคคลที่กําลังทํางานที่ชาวนาเป็นผู้จ้าง

  • 2. ผู้จัดการฟาร์ม ผู้ได้รับเงินเดือน โดยทั่วไปจัดอยู่ในประเภทชาวนา
  • 3. ในสก๊อตแลนด์ ชาวนาขนาดเล็กบางครั้งเรียกว่า crofter ชาวนาที่มีฟาร์มขนาดเล็กเรียกว่าผู้ถือครองรายย่อย
  • 4. แรงงานการเกษตรแบ่งเป็นประเภททั่วไป 3 ประเภท แรงงานการเกษตรเต็มเวลา แรงงานรายวัน และแรงงานการเกษตรตามฤดูกาล ประเภทสุดท้ายนี้มักเป็นแรงงานผู้ย้ายถิ่น

357

ประชากรกําลังทํางานอาจจําแนกประเภทตาม อุตสาหกรรม1 หรือ สาขาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ1 การจําแนกประเภทอย่างนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของ ธุรกิจ2 หรือ องค์กร2ซึ่งบุคคลทํางานอยู่ ความสําคัญจะอยู่ที่การแบ่งประชากรออกเป็น คนงานทางการเกษตร3 และ คนงานไม่ใช่ทางการเกษตร4 บางครั้ง ลูกจ้างรัฐบาล5และ บุคคลากรทางการทหาร6 หรือ สมาชิกของกองทัพ6 โดยทั่วไปจะแสดงแยกต่างหาก แต่ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจมีกฎนับให้อยู่ในประชากรเชิงอุตสาหกรรมที่เหลือ โดยทั่วไป อุตสาหกรรมจําแนกออกเป้น 3 ภาค ภาคปฐมภูมิ7 (เกษตรกรรม ล่าสัตว์ ประมง และทําเหมืองแร่) ภาคทุติยภูมิ8 (หัตถกรรม ก่อสร้าง และบริการ) และ ภาคตติยภูมิ9 (การพาณิชย์ การคลัง อุตสาหกรรมการขนส่ง และอุตสาหกรรมการบริการ) ในประเทศกําลังพัฒนา ภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิม10มักใส่ไว้ในรายการแยกต่างหาก และอยู่ตรงข้ามกับภาคสมัยใหม่ของเศรษฐกิจ

  • 1. เพื่อวัตถุประสงค์ในการเปรียบเทียบระหว่างประเทศ สหประชาชาติได้จัดพิมพ์การจําแนกประเภทอุตสาหกรรมมาตรฐานสากลของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด (International Standard Industrial Classification of All Economic Activities)
  • 5. ข้าราชการพลเรือนเป็นลูกจ้าง (353-3) ของรัฐบาล ข้าราชการ (official) เป็นลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ แต่ศัพท์คํานี้บางครั้งใช้สําหรับลูกจ้างเงินเดือนของบริษัทใหญ่ มักแสดงความแตกต่างระหว่างลูกจ้างรัฐบาลกับลูกจ้างเอกชน

358

ประชากรที่ไม่ทํางานเชิงเศรษฐกิจอาจแบ่งออกเป็น ผู้พึ่งพิง1 (350-5) และ บุคคลที่พึ่งตนเอง2 ผู้พึ่งพิงต้องอาศัยการสนับสนุนช่วยเหลือจาก ผู้หาเงิน3 หรือ ผู้หาเลี้ยงครอบครัว3 ตัวอย่างเช่นในกรณีของแม่บ้าน (350-4) และ เด็กๆ ที่ต้องพึ่งพิง4 บุคคลที่พึ่งตนเองมีวิธีการเพียงพอที่จะหาเลี้ยงชีพของตนได้ เขาอาจเป็น ผู้ให้เช่า5 หรือ บุคคลผู้มีวิธีการอิสระ5 ผู้เกษียณหรือ ผู้ได้รับบํานาญ6 ประเภทพิเศษของผู้พึ่งพิงได้แก่ บุคคลที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ7 หรือ ผู้รับสวัสดิการ7 บุคคลที่ไม่สามารถทํางานได้เรียก ผู้ไม่สามารถทํางาน8 อัตราส่วนของประชากรที่ทํางานต่อประชากรที่ไม่ทํางานเรียกว่า อัตราส่วนพึ่งพิงทางเศรษฐกิจ9

  • 9. อัตราส่วนของประชากรเด็กและผู้สูงอายุต่อผู้ใหญ่เรียกว่าอัตราส่วนพึ่งพิงทางอายุ

359

อาจแบ่งประเภทประชากรตามภาคของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ประชากรทําอยู่เพื่อการดํารงชีวิต ผู้พึ่งพิงจัดไว้ในประเภทเดียวกันกับผู้หาเลี้ยงครอบครัว เราพูดถึง ประชากรพึ่งพิงต่อ1สาขากิจกรรมเฉพาะ และโดยเฉพาะของ ประชากรพึ่งพิงต่อการเกษตร2 คําว่า ประชากรทางการเกษตร2บางครั้งใช้ให้มีความหมายเดียวกันกับ ประชากรไร่นา2ซึ่งอาศัยอยู่ในไร่นา หรือพึ่งพิงการเกษตร และซึ่งแตกต่างจาก ประชากรนอกไร่นา3 หรือ ประชากรนอกการเกษตร3

360

คนอ่อนแอ1 หรือ คนพิการ1มักแสดงในสํามะโนแยกต่างหาก ประชากรเหล่านี้จะถูกจัดประเภทตามลักษณะของ ความอ่อนแอ2 หรือ ความพิการ2 ความอ่อนแอทางกาย3 หรือ ความพิการทางกาย3อย่างเช่นตาบอด หรือหูหนวก-เป็นใบ้ โดยทั่วไปจะแยกออกจาก ความอ่อนแอทางจิต4 หรือ ความพิการทางจิต4อย่างเช่นปัญญาอ่อน หรือความจําเสื่อม

361

การศึกษาเกี่ยวกับ ชีวิตการทํางาน1ของบุคคลรวมการศึกษาเกี่ยวกับ การเข้าสู่กําลังแรงงาน2 และเกี่ยวกับ การออกจากกําลังแรงงาน3 ในเรื่องการเข้าสู่แรงงาน เป็นไปได้ที่จะแยกคนที่ไม่เคยทํางานออกจากคนที่เคยเป็นกําลังแรงงานในเวลาก่อนหน้านั้น ในเรื่องการแยกออกจากแรงงานอาจทําเป็นรายการตามสาเหตุ เช่น การตาย การปลดเกษียณ4 การถอนตัวออกจากแรงงานชั่วคราว อาจทําการวิเคราะห์ตามรุ่นหรือระยะเวลา และจะเกี่ยวข้องกับ อัตราการเข้าสู่แรงงาน5 หรือ ความน่าจะเป็นของการเข้าสู่แรงงาน6 อัตราการออกจากแรงงาน7 หรือ ความน่าจะเป็นของการออกจากแรงงาน8ตามสาเหตุครั้งสุดท้าย ดัชนีเหล่านี้คํานวณตามรายอายุหรือกลุ่มอายุ

362

ดัชนีเหล่านี้ใช้ในการคิดคํานวณ ตารางของชีวิตการทํางาน1ตามรุ่นหรือตามระยะเวลา เสริมต่อความน่าจะเป็นที่ได้อธิบายไว้ในย่อหน้าก่อน ตารางนี้แสดงการกระจายตามราย อายุที่เข้าสู่แรงงาน2 และการกระจายตามราย อายุที่ออกจากแรงงาน3 (ตามสาเหตุครั้งสุดท้าย ก่อนและหลังจากดูเรื่องการตาย) อายุเฉลี่ยที่เข้าสู่แรงงาน4 และ อายุเฉลี่ยเมื่อออกจากแรงงาน5 ความคาดหวังของชีวิตการทํางาน6 ความคาดหวังรวมของชีวิตการทํางาน7 (ซึ่งไม่รวมผลกระทบของภาวะการตาย) และ ความคาดหวังสุทธิของชีวิตการทํางาน8 (ซึ่งรวมผลกระทบของภาวะการตาย) ดัชนีทั้งหมดนี้แสดงจํานวนปีเฉลี่ยของชีวิตการทํางานที่เหลืออยู่ที่ประชากรทํางานแต่ละอายุจะมี สําหรับคนที่เข้าสู่แรงงานที่อายุนั้น ความคาดหวังนี้จะให้ค่า ระยะเวลาเฉลี่ยของชีวิตการทํางาน9 ดัชนีคล้ายๆ กันนี้อาจคํานวณสําหรับทุกอายุที่เข้าสู่แรงงานรวมด้วยกัน

  • 1. ตารางอย่างนี้คํานวณเมื่อการถอนตัวชั่วคราวจากแรงงานคิดเป็นสัดส่วนของทั้งหมดที่น้อยมากจนตัดทิ้งได้ และเงื่อนไขเป็นอยู่ประมาณนั้นสําหรับผู้ขาย สําหรับผู้หญิง จําเป็นที่ต้องแยกความแตกต่างระหว่างการเข้าสู่แรงงานครั้งแรก หรือการเข้าสู่แรงงาน ออกจากการเข้าสู่แรงงานอีกครั้ง

***

ดึงข้อมูลจาก "http://th-II.demopaedia.org/w/index.php?title=35&oldid=750"